เพื่อนๆ คะ ปัจจุบันเรามีทรงผมให้เลือกมากมายหลายทรง โดยแต่ละทรงโดดเด่นแตกต่างกันไป บางทรงฮิตมาตั้งแต่สมัยก่อน บางทรงคิดค้นขึ้นใหม่ หรือบางทรงก็ได้รับอิทธิพลมาจากเมืองนอก แต่รู้ไหม กว่าจะพัฒนาเป็นทรงผมต่างๆ อย่างที่เห็นนี้ ทรงผมของคนไทยมีวิวัฒนาการต่อเนื่องกันมาถึง 3 ยุคทีเดียว ซึ่งแต่ละยุคน่าสนใจอย่างไรบ้าง ตามไปดูกันเลยค่า
(ปราง กัญญ์ณรัณ ในบท แม่หญิงจันทร์วาด จากละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส กับทรงผมเกล้าเป็นมวยมัดไว้ที่กลางศีรษะ)
ยุคสุโขทัย ยุคแรกนี้ย้อนไปราว 700-800 ปี บ้านเมืองค่อนข้างสงบร่มเย็น ทรงผมผู้หญิงจึงนิยมไว้ยาว แล้วเกล้าเป็นมวยมัดไว้ที่กลางศีรษะ เรียกว่าทรงโซงโขดง ก่อนจะสวมเกี้ยวหรือพวงมาลัยดอกไม้รอบมวยผมนั้นอีกทีหนึ่ง ส่วนผู้ชายก็จะไว้ผมยาวและเกล้าไว้กลางศีรษะเช่นกัน แต่ใช้ปิ่นปักผมแทน เพื่อให้ดูสง่างามและแสดงถึงฐานันดร
ยุคกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในยุคนี้ ทรงผมจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะบ้านเมืองมีศึกสงครามบ่อย ทำให้ไม่สะดวกเกล้าผมอีกต่อไป โดยผู้หญิงจะไว้เป็นทรงผมสั้น เพื่อช่วยให้ปลอมตัวเป็นชายเวลาหนีภัยได้ง่าย ส่วนผู้ชายจะไว้ผมสั้นที่มีลักษณะโกนรอบศีรษะเหมือนกะลาครอบหัว เพื่อความสะดวกในการออกรบ ซึ่งต่อมาเรียกผมทรงนี้ว่า ทรงมหาดไทย นั่นเอง
(เหมียว ชไมพร ในบท คุณหญิงจำปา จากละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส กับทรงผมสั้นของผู้หญิงจะมีการไว้จอนที่หูยาวลงมาแล้วยกทัดไว้ที่หู)
ยุครัตนโกสินทร์ ยุคนี้ในช่วงตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1-3 ยังมีการรบทัพจับศึกกันอยู่บ้าง ทรงผมคนไทยจึงไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนัก โดยยังคงนิยมไว้ทรงผมสั้นและทรงมหาดไทยกันอยู่ เพียงแต่ทรงผมสั้นของผู้หญิงจะมีการไว้จอนที่หูยาวลงมาแล้วยกทัดไว้ที่หู
(ปราง กัญญ์ณรัณ)
จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 4 มีการรับวิทยาการต่างๆ จากตะวันตกเข้ามา การแต่งตัวและไว้ทรงผมก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยผู้หญิงนิยมไว้เป็นผมทรงปีกที่มีการโกนหรือตัดสั้นโดยรอบ แล้วปล่อยผมไว้ยาวพอประมาณบริเวณตอนบนและกลางศีรษะหวีเสยตั้งขึ้นด้วยน้ำมันตานี ซึ่งเป็นน้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวผสมกับขี้ผึ้งน้ำมันหอม เพื่อจับผมให้ตั้งแข็งและดำเงางาม แล้วกันไรผมบริเวณรอบวงหน้าและไว้จอนยาวทั้งสองข้างใบหู ส่วนผู้ชายยังไว้เป็นทรงมหาดไทย
(แพนเค้ก เขมนิจ กับทรงผมไว้ยาวลงมาบริเวณต้นคอแล้วจับด้วยน้ำมันตานี)
จากนั้นเมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้เสด็จต่างประเทศและรับเอาอิทธิพลจากทางตะวันตกเข้ามามากขึ้น จึงทรงโปรดให้คนไทยเปลี่ยนมาไว้ผมยาวแล้วดัดแบบฝรั่ง โดยผู้หญิงจะเลิกไว้ผมทรงปีกมาไว้ผมยาวประบ่าแทน ลักษณะคือไว้ยาวลงมาบริเวณต้นคอแล้วจับด้วยน้ำมันตานี ส่วนด้านหน้าหวีเสยขึ้น แสกกลางแล้วทัดผมบริเวณด้านข้างของศีรษะ สำหรับผู้ชายก็จะหันมาไว้ผมยาวมากขึ้นแล้วตัดอย่างฝรั่ง และมีทั้งหวีแสกและหวีเสย
ต่อมาก็มีการเปลี่ยนการไว้ทรงผมในสมัยนี้อีกครั้ง โดยผู้หญิงนิยมไว้เป็นผมทรงดอกกระทุ่ม ที่มีลักษณะตัดผมทั้งศีรษะแล้วปล่อยให้ยาวชี้ขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายดอกกระทุ่ม เมื่อผมยาวพอดีก็จะหวีเสยขึ้นไปตรงๆ และตัดออกพองาม ซึ่งผมทรงดอกกระทุ่มนี้จะนิยมไว้โดยทั่วกัน รวมทั้งสตรีในราชสำนัก จนมาช่วงปลายสมัยรัชกาล สตรีแรกรุ่นก็จะเริ่มนิยมไว้เป็นผมยาวลงมาถึงกลางหลังและหวีเสยด้านหน้าให้ตั้งสูง แล้วมีการประดับผมด้วยแถบผ้าลูกไม้ ริบบิ้น หรือไม่ก็ลูกปัดอย่างงดงาม นอกจากนั้นร้านตัดผมในเมืองไทยยังเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยนี้ด้วย
พอมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงผมของคนไทยยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเดิม โดยผู้หญิงจะไว้เป็นผมยาวแบบตะวันตก และเกล้าผมยาวตลบไว้ที่ท้ายทอย เรียกว่าผมโป่ง เนื่องจากบางคนผมยาวไม่พอเกล้า ก็จะใช้ก้อนผมรองภายในให้ผมโป่งออกมา นอกจากไว้ผมโป่งแล้วยังนิยมไว้ผมบ๊อบ คือตัดผมยาวเสมอคอ ส่วนผมข้างๆ ตัดให้เป็นจอนหู และมีการนำเครื่องประดับต่างๆ มาตกแต่งหรือคาดผม
หลังจากนั้นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ผู้หญิงจะนิยมไว้ผมทรงบ๊อบหรือไม่ก็ตัดผมสั้นระดับหูตอนล่าง-สองข้างยาวเท่ากันแล้วดัดข้างหลังให้โค้งประต้นคอ เรียกกันว่าทรงซิงเกิล และมีการติดโบว์ใหญ่ไว้บนผมด้วย นอกจากนี้บางคนยังนิยมดัดผมเป็นคลื่นด้วยน้ำยาดัดผมที่ส่งมาขายจากต่างประเทศ เรียกว่าทรงผมคลื่น ส่วนผู้ชายก็หันมานิยมไว้ทรงผมตามแบบตะวันตก ที่เรียกกันว่าผมรองทรง
จวบจนมีการปฏิวัติในปี พ.ศ.2475 จอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงได้ออกประกาศกฎหมายตามแบบสากลนิยม ขอให้ผู้หญิงไทยทุกคนไว้ผมยาว ช่วงนี้จึงมีการดัดผมยาวด้วยไฟฟ้าเป็นลอนมากบ้างน้อยบ้าง ส่วนผู้หญิงสูงอายุก็นิยมเกล้ามวยผมแบบเรียบๆ รวมทั้งรัฐบาลมีการออกกฎหมายคุ้มครองอาชีพตัดผม ทำให้อาชีพนี้เป็นที่นิยมมากขึ้นตามไปด้วย
จากปี พ.ศ.2475 สู่ พ.ศ.2501-2540 ความทันสมัยจากตะวันตกยิ่งหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ทำให้ทรงผมเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก โดยทรงผมจะไล่ลำดับความนิยมจากทรงอเมริกันหรือรองทรงสูง ทรงฮิปปี้ ทรงแอฟโร ทรงรากไทร ทรงทวิกกี้ และทรงผมเกล้าแบบต่างๆ จนมาเป็นทรงบ๊อบหน้าม้าตามแบบนักร้องอังกฤษ-วงเดอะบีเทิลส์ พร้อมกับเริ่มมีการนำวิกเข้ามาใช้ในวงการผม ส่วนผู้นำแฟชั่นทรงผมในช่วงนี้ ก็จะเปลี่ยนจากกลุ่มชนชั้นสูงมาเป็นดารา-นางแบบแทน ทำให้มีการเรียกทรงผมตามชื่อดารา-นางแบบเหล่านั้น เช่น ทรงเพชรา เชาวราษฎร์, ทรงภาวนา ชนะจิต เป็นต้น
สืบต่อมาถึงปัจจุบัน ทรงผมก็ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นโลก ทำให้มีการคิดค้น-ออกแบบทรงผม ตลอดจนพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ต่างๆ สำหรับผมออกมามากมาย ทั้งเพื่อการตัด ดัด ซอย เซ็ต ยี และย้อมผม เราเลยมีทรงผมให้เลือกทำอย่างหลากหลายตามเทรนด์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในแต่ละปี
จึงเห็นได้ว่า วิวัฒนาการทรงผมของคนไทยนั้น ผ่านการเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคมาอย่างน่าสนใจ แต่ไม่ว่าทรงผมจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน และเราจะไว้ผมทรงอะไร ก็ต้องอย่าลืมดูแลผมด้วยแชมพู ครีมนวด ทรีตเมนต์ และผลิตภัณฑ์บำรุงผมอย่างสม่ำเสมอ ทรงผมของเราจะได้นุ่มสลวย สวยงามและสุขภาพดีไปนานๆ...
อ่านบทความอื่นๆ คลิกเลย