อย่างไรก็ตาม ก่อนธุรกิจสปาและนวดบำบัดจะเข้ามาเจิดจรัสในเมืองไทยนั้น มีจุดเริ่มต้นขึ้นที่เมืองเล็กๆ ชื่อว่า "สปา" เมืองแห่งน้ำพุร้อน ในประเทศเบลเยี่ยม เมื่อหลายร้อยปีก่อน โดยสมัยนั้นมีการใช้น้ำจากบ่อน้ำแร่มาบำบัดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและความเจ็บปวดจากการขาดธาตุเหล็ก
ต่อมาจึงพัฒนาการบำบัดด้วยน้ำเป็นการผ่อนคลายควบคู่กับวิธีการแพทย์ทางเลือกอื่นๆ โดยใช้ศาสตร์สัมผัสทั้ง 5 ได้แก่รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส มาสร้างสภาวะสมดุลให้กับร่างกายและจิตใจ สปาก็ยิ่งได้รับความนิยม จนกลายเป็นสปาฟีเวอร์ตามชื่อเมือง ในแวดวงของคนมีอันจะกินหรือเศรษฐี เนื่องจากตอนนั้นสปาเน้นบริการอยู่ตามโรงแรมหรูและราคาค่อนข้างสูง แต่หลังจากสปาแพร่หลายไปยังฝั่งอเมริกาและเอเชีย จนมีการก่อตั้ง ISPA (The International Spa Association) องค์กรความร่วมมือระหว่างผู้ทำงานด้านสปา เพื่อให้สมาชิกปฏิบัติตามมาตรฐานขององค์กร สปาก็เข้าถึงผู้คนได้กว้างขึ้นและยิ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว
สำหรับในเมืองไทยเอง หากไม่นับการนวดแผนไทยที่อยู่ในวัด หรือตามศูนย์ฝึกอาชีพ ธุรกิจสปาและร้านนวดเกิดขึ้นจากนักธุรกิจที่มีโอกาสไปสัมผัสกับประสบการณ์ด้านนี้ที่เมืองนอก แล้วมองเห็นช่องทางเติบโต จึงเริ่มเปิดสปาและร้านนวดขึ้นในลักษณะตึกแถวหรือ Stand Alone บนถนนสายต่างๆ เมื่อราว 16-17 ปีที่แล้ว และได้รับผลตอบรับที่ดี ภายหลังรัฐบาลเน้นส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักดูแลและรักษาสุขภาพตนเอง มากกว่าปล่อยให้เจ็บป่วยแล้วค่อยไปหาหมอ ประกอบกับภูมิปัญญาไทยด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนวดแผนไทย ศาสตร์สมุนไพรไทย บูมมากขึ้น สปาและร้านนวดไทยก็ยิ่งยกระดับมาตรฐานยืนหนึ่ง ไม่เป็นรองใคร โดยเฉพาะสปาแตกแขนงออกเป็นสปาหลายรูปแบบ
ที่คุ้นหูและเป็นที่รู้จัก ได้แก่ สปาแบบวันเดียวหรือเดย์สปา (Day Spa), สปาแบบท่องเที่ยว (Destination Spa), สปาแบบองค์รวม (Holistic Spa), สปาทางการแพทย์ (Medical Spa), สปาตามโรงแรมหรือรีสอร์ต (Hotel & Resort Spa), สปาแบบออกกำลังกาย (Fitness Spa) และสปาคลับ (Spa Club) รวมถึงมีการเปิดบริการในห้างสรรพสินค้าทั้งในและต่างจังหวัดด้วย จนกระทั่งสถานเสริมความงามหรือร้านเสริมสวยยังต้องปรับเพิ่มบริการด้านนี้เข้ามาในร้านเช่นกัน เช่น นวดหน้า ขัดผิว อบไอน้ำ อาบน้ำแร่ ฯลฯ จึงเห็นได้ว่า ทุกวันนี้การทำสปาและนวดบำบัดกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนไปเรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบัน ความหมายของ สปา ก็คือสถานบริการเพื่อสุขภาพ ที่มีการใช้น้ำเพื่อการบำบัดเป็นหลัก ผสานไปกับการนวดหลากหลายประเภท อาทิเช่น นวดแผนไทย นวดแผนอินเดีย นวดสวีเดช หรือนวดประยุกต์ ขึ้นอยู่กับเอกลักษณ์ของแต่ละสปา ซึ่งจะบรรณาการทั้งความผ่อนคลาย ความงาม และสุขภาพที่ดี ส่วนร้านนวดนั้น มักให้บริการทั้งนวดแผนไทยและนวดแผนโบราณอื่นๆ เพื่อจับจุด คลายเส้น และแก้อาการปวดเมื่อยเป็นการเฉพาะ โดยเดี๋ยวนี้ร้านนวดส่วนใหญ่มีการพัฒนาคุณภาพและความทันสมัย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า หรือขึ้งเครียดจากชีวิตประจำวันหรือการทำงาน สปาและการนวดบำบัด จึงคือคำตอบของไลฟ์สไตล์คนไทยยุคนี้ สมกับคำพูดติดปาก “เมื่อยเมื่อไหร่ ก็ไปสปา”
นอกจากนั้นหากส่องลึกไปถึงอนาคต จากสปาและร้านนวดเดี่ยวๆ ที่เริ่มเกิดขึ้นในเมืองไทย เมื่อสิบกว่าปีก่อน จนอัพเกรดมาเป็นสปาและร้านนวดในหลายเลเวลเฉกเช่นเวลานี้ ย่อมชี้ชัดแล้วว่า ธุรกิจนี้จะเรืองรุ่งพุ่งแรงแบบฉุดไม่อยู่ต่อไปอีกนานทีเดียว